ผมเขียนเรื่อง “
มารู้จักกับ Affinity Photo” ไว้เมื่อเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา เป็นข้อเขียนที่แนะนำให้รู้จักโปรแกรม Affinity Photo อย่างคร่าวๆ โดยเน้นไปที่ User Interface ต่างๆ พอเป็นสังเขป ไม่ได้ลงลึกอะไรมากนัก และมีคนเข้าไปอ่านพอสมควร ตอนแรกคิดว่าไม่น่าจะมีคนอ่านเรื่องนี้เท่าไหร่ คิดว่าคนคงใช้โปรแกรมตัวนี้น้อยมาก แต่เช็คยอดผู้อ่านแล้วมีคนเข้าไปอ่านมากพอสมควร ก็เลยเห็นภาพว่าโปรแกรมตัวนี้ (ซึ่งมีการทำงานคล้ายคลึงกับ Photoshop) เร่ิมมีคนไทยใช้มากขึ้นทุกวัน ผมก็เลยคิดว่า จะเขียนเรื่องนี้เพิ่มเติม โดยเน้นไปในส่วนของ Develop Persona ส่วน Persona อื่นๆ คิดไว้ว่าหากมี mood เมื่อใด ก็จะทยอยเขียนไปเรื่อยๆ
ผมก็ยังคงย้ำแนวคิดเดิมตามที่เคยเขียนไว้ในตอนแรกกว่า เป็นการเขียนในลักษณะแนะนำโปรแกรมว่ามันมี Feature ใช้งานอะไรได้บ้าง โดยเพิ่มการอธิบายถึงเครื่องมือและ Panel ต่างๆ ของ Develop Persona แต่จะไม่มีการเขียนแบบว่า นำตัวอย่างภาพมาแสดงให้เห็นว่าจะปรับแต่งตรงไหนบ้าง อย่างไรบ้าง ดึง curve อย่างไร อะไรทำนองนี้
อนึ่ง ในข้อเขียนนี้จะไม่ไปลงข้อความซ้ำกับตอนเดิมที่เคยเขียนไว้ ซึ่งผู้อ่านสามารถคลิกไปอ่านข้อเขียนเรื่อง “
มารู้จักกับ Affinity Photo” ได้ ซึ่งถ้าเป็นผู้ใช้มือใหม่ แนะนำให้เข้าไปอ่านก่อนที่จะมาอ่านข้อเขียนนี้นะครับ นอกจากนี้ ภาพต่างๆ ที่แสดงในนี้มาจากเวอร์ชั่น Mac ผมไม่ได้ใช้ Windows หากคำสั่งใดๆ ที่ไม่ตรงกันระหว่าง Mac กับ Windows ก็จะพยายามค้นหาข้อแตกต่างเท่าที่จะค้นได้ครับ
Develop Persona
Develop Persona นี้ มันก็คือ Raw Editor ถ้าเทียบกับ Photoshop ก็คือ Camera Raw นั่นเอง การปรับแต่งภาพใน Develop Persona ส่วนใหญ่แล้วเป็นการปรับแต่งภาพให้ดูดีในระดับหนึ่งก่อนที่จะนำภาพนั้นไปปรับแต่งต่อใน Photo Pesona ต่อไป
วิธีเปิดไฟล์ก็ง่ายๆ เมนู File/Open หรือกดคีย์บอร์ด Cammand+O ซึ่งผมใช้ Mac OS ก็เป็นคำสั่งนี้ ถ้าเป็น Windows ก็ Control+O (ต่อไปจะขอใช้ตัวย่อ เช่น Command + O เป็น Cmd+O หรือ Control+O เป็น Ctrl+O) หรือไม่ก็ลากไฟล์จากโปรแกรมอื่นมาที่ไอคอน Affinity Photo บน Desktop ได้เลย หรือลากมาวางบนตัวโปรแกรมที่เปิดอยู่แล้วก็ได้เช่นกัน
ภาพด้านล่างเป็นภาพจากโปรแกรมเมื่อผมเปิดไฟล์ Raw ซึ่งโปรแกรมจะเข้าสู่ Develop Persona โดยอัตโนมัติ
 |
Develop Persona User Interface |
ต่อไป จะขออธิบายหน้าที่ของเครื่องมือแต่ละอย่างใน Develop Persona โดยเริ่มตั้งแต่ Tool Panel ในกรอบสีเหลือง ส่วนในกรอบสีเขียว คือ Toolbar และในกรอบสีแดง คือ Studio Panels
Tool Panel
เรามาดูเครื่องไม้เครื่องมือของตัวโปรแกรมใน Develop Persona ที่ Tool Panel ทางด้านซ้ายของจอกันก่อนว่ามีอะไรบ้าง เครื่องมือใน Develop Persona นี้ เรียกว่า Raw Tool ซึ่งมีอยู่เพียง 9 ตัว ไม่มากเท่ากับเครื่องมือใน Photo Pesona
ภาพด้านล่างคือ ภาพของ Raw Tool และชื่อของแต่ละตัว
 |
Tool Panel |
– View Tool (keyboard shortcut H) ใช้เพื่อเลื่อนภาพที่อยู่ในส่วน Document View ไปมา หรือที่เรียกว่า pan view ถ้า double click ที่ mouse ภาพก็จะถูกขยายให้พอดีกับหน้าจอของโปรแกรม (zoom to fit) ที่ Context Toolbar ด้านบนของภาพด้วยที่อยู่ใต้ Toolbar จะมีข้อมูลเกี่ยวกับภาพนั้น คือ ขนาดของภาพ กว้างxสูง กี่ pixel ทั้งภาพกี่ Megapixel Colour Profile ของภาพ ใช้กล้องและเลนส์อะไร
– Zoom Tool (shortcut Z)ใช้เพื่อขยายภาพ (zoom in) โดยคลิกเลือก Zoom Tool แล้วไปคลิกที่ภาพ ส่วนการจะย่อภาพลง (zoom out) ก็คลิก+Opt หรือง่ายๆ ก็คลิกแล้วลากเมาส์ไปทางขวาเพื่อ zoom in และคลิกแล้วลากเมาส์ไปทางซ้ายเพื่อ zoom out
– Red Eye Removal Tool (shortcut R)ใช้เพื่อแก้ไขกรณีถ่ายภาพบุคคลแล้วตาแดง คลิกเลือกเครื่องมือนี้แล้วไปวางและลากเมาส์ให้ครอบคลุมบริเวณตาดำที่ตอนนี้เป็นสีแดงอยู่
– Blemish Removal Tool (shortcut L) ใช้เพื่อลบสิ่งขนาดเล็กในภาพ เช่น สิว รอยแผล หรือสิ่งอื่นๆ รวมทั้งรอยฝุ่นบนเซ็นเซอร์ ที่ Context Toolbar จะมี option ให้เลือกขนาดความกว้างของหัวลบ (Brush) ซึ่งเป็นจำนวน pixel วิธีใช้ก็คลิกบนสิ่งที่ต้องการลบแล้วลากไปยังบริเวณพื้นที่ที่ต้องการให้แทนที่
– Overlay Paint Tool (shortcut B) ใช้เพื่อปรับแต่งส่วนใดส่วนหนึ่งของภาพในลักษณะเป็น local adjustment เช่น ปรับส่วนหนึ่งส่วนใดของภาพที่มืดหรือสว่างมากไป ซึ่ง Tool ตัวนี้เป็นการทำงานโดยใช้ Brush และที่ Context Toolbar มี option ให้เลือกขนาดของ Brush เลือกเปอร์เซ็นต์ Hardness และมี Edge Aware ให้เลือกในกรณีต้องการ brush ขอบวัตถุให้ได้พอดิบพอดี
– Overlay Erase Tool (shortcut E) ใช้เพื่อลบส่วนที่เป็น Brush Overlay ของภาพ เพื่อให้ภาพในส่วนนั้นกลับมาเหมือนเดิมก่อนการใช้ Brush Overlay และเช่นเดียวกัน ที่ Context Toolbar มี option ให้เลือกขนาดของ Brush เลือกเปอร์เซ็นต์ Hardness และมี Edge Aware ให้เลือกในกรณีต้องการลบรอย brush ที่ขอบวัตถุให้ได้พอดิบพอดี
– Overlay Gradient Tool (shortcut G) ใช้เพื่อปรับแต่งภาพ ซึ่ง Tool ตัวนี้เป็นการทำงานโดยใช้ Gradient การทำงานก็เพื่อปรับส่วนหนึ่งส่วนใดในภาพ เช่น ปรับท้องฟ้าในภาพเพื่อลดความสว่างลง และที่ Context Toolbar มี option ให้เลือกแบบของ Gradient 3 แบบ คือ Linear/Elliptical/Radial
– Crop Tool (shortcut C)ใช้เพื่อ Crop ภาพ ที่ Context Toolbar มี option ให้เลือกได้มากมาย อาทิ คลิกที่ไอคอนฟันเฟืองเพื่อเลือก Ratio แบบต่างๆ คลิกเลือก Mode เลือกขนาดของ Pixel ลากเส้นปรับความเอียง เป็นต้น
– White Balance Tool (shortcut W) ใช้เพื่อปรับแต่ง White Balance ของภาพ คลิกที่ Tool นี้ แล้วไปคลิกเลือกบริเวณในภาพที่มีสีขาวหรือสีเทากลาง เพื่อให้ภาพมี White Balance ที่ถูกต้อง และควรใช้เครื่องมือแถบ White Balance ที่อยู่ใน Studio Panels มาช่วยประกอบกันด้วย
Toolbar
เครื่องมือในส่วนนี้ไม่ได้มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับการตกแต่งภาพ แต่เป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการตรวจดูภาพเสียมากกว่า
ภาพด้านล่างเป็นภาพ Tooblbar เราสามารถปรับแต่งได้โดยคลิกขวาที่บริเวณ Toolbar แล้วเลือก Customize toolbar เพื่อเพิ่มหรือลดเครื่องมือบน Toolbar ได้
 |
Toolbar |
– Split View เป็น option สำหรับเปรียบเทียบภาพก่อนแต่งและหลังแต่ง โดยเปรียบเทียบได้ 2 แบบ คือ แยกภาพเป็น 2 ภาพ และใช้ภาพเดียวแต่มีเส้นแบ่งระหว่างภาพก่อนแต่งและหลังแต่ง ส่วน icon วงกลมสีฟ้านั้น หมายถึงการแสดงภาพเดียว หลังจากเปรียบเทียบภาพแล้ว คลิกเลือก icon วงกลมสีฟ้าเพื่อให้ภาพกลับไปแสดงภาพที่ไม่มีการเปรียบเทียบ
– Before/After เป็นเรื่องของการ sync ภาพก่อนและหลังการแต่ง โดยใช้ option นี้ร่วมกับ Split View จะทำให้ภาพนั้นเปลี่ยนกลับไปเป็น before หรือ ater แล้วแต่จะเลือก นอกจากนี้ยังมี Swap option สามารถเปลี่ยนการแสดงภาพก่อนหน้าและหลังสลับไปมาในส่วนของจอภาพใน Split View ได้ ซึ่งอธิบายให้เห็นภาพมันค่อนข้างยาก แนะนำให้เล่นดูเอง ทำผิดพลาดไปก็เลือก Edit/Undo หรือ Cmd+Z (Ctrl+Z) ได้
– Assistant Options สำหรับตัวเลือกตัวช่วยในส่วน Develop Persona นี้ เราสามารถกำหนดเงื่อนไขได้ เช่น ในส่วนของ Raw Engine ว่าจะใช้ของ Serif labs (บริษัทผู้พัฒนา Affinity Photo) หรือของ Apple หรือจะเลือกให้โปรแกรมปรับแต่งโดยอัตโนมัติในส่วนของ Exposure และ Tone ของภาพตอนโหลดภาพเข้าในโปรแกรม (ซึ่งเป็นค่า default) หรือไม่ จะให้โปรแกรมเลือกหรือไม่เลือก Lens Profile เป็นต้น
– Snapping ถ้าใช้ feature นี้ ในส่วนของ Photo Persona มันจะช่วยให้เราสามารถนำภาพหลายๆ ภาพ มาแสดงในภาพเดียวได้ กล่าวคือ เอาภาพกรอบเล็กหลายๆ ภาพ มาแสดงในภาพกรอบใหญ่ แบบ picture-in-picture ซึ่ง Snapping จะช่วยให้เรากำหนดเส้นแนวการวางภาพในกรอบเล็กให้ตรงกันไม่ว่าในส่วนของเส้นแนวตั้งหรือแนวนอนให้ได้ระดับเดียวกัน แต่พอนำ Snapping มาใช้ใน Develop Persona ดูแล้วแทบไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก เพราะเราไม่สามารถนำภาพอื่นๆ มาซ้อนอยู่บนไฟล์ Raw ได้ เราทำได้เพียงแค่เวลา crop ภาพ แล้วเลื่อนภาพที่ crop นั้นให้เข้ามุมของภาพได้พอดี หรือเลื่อนภาพให้แตะขอบของภาพได้พอดี ไม่ว่าขอบบน ขอบล่าง ขอบด้านข้าง หรือกลางภาพ โดยโปรแกรมจะแสดงเส้นแนวตั้งสีเขียวหรือแนวนอนสีแดงให้เราเห็นว่ามันได้ระดับแล้ว
– Rotation ใช้เพื่อปรับหมุนภาพได้ทั้งแบบทวนและตามเข็มนาฬิกา
– Clipping Alarms ตัวช่วยที่เตือนเราให้รู้ว่าภาพที่ปรับแต่งนั้น ส่วนใดมีแสงสว่างมากเกินไป (overexposure) หรือมืดเกินไป (underexposure) โดยสังเกตจากพื้นที่ของสีในภาพ สีแดงคือ pixel ของภาพที่สว่างเกินไป คือเป็น blown highlight สีน้ำเงินคือ piexel ของภาพที่มืดเกินไป และสีเหลืองคือ pixel ของภาพที่เป็น Midtone ซึ่งเวลาใช้งานผมเองจะคลิกเลือกในส่วนของ Clipping Alarms ไว้เสมอ โดยเฉพาะเลือก Show Clipped Hightlights และ Show Clipped Shadows
Studio Panels
Studio Panels มีอยู่ 3 ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนแรกที่อยู่ด้านบนสุดแสดงคุณลักษณะและข้อมูลของภาพ ส่วนที่ 2 ใช้สำหรับปรับแต่งภาพ อยู่ตรงกลางของ Studio Panel และส่วนด้านล่างสุดของ Studio Panel
ส่วนแรกที่แสดงคุณลักษณะและข้อมูลของภาพนั้น ส่วนนี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับการตกแต่งภาพโดยตรงแต่อย่างใด ดูภาพข้างล่างนี้นะครับ ซึ่งปกติแต่ละ Panel ย่อยนั้น ต้องคลิก Tab แต่ละ Tab ของ Panel เพื่อแสดง Panel ย่อย ครั้งละ Panel เท่านั้น แต่ผมจับภาพ 5 Tab มารวมกันแสดงให้เห็นในภาพเดียว
– Histogram แสดง Histogram ของภาพ กราฟมาทางด้านซ้ายของกรอบแสดงว่าภาพเป็นโทนมืด ถ้ามาทางขอบด้านขวา ภาพก็จะเป็นโทนสว่าง ซึ่งในภาพด้านบน กราฟจะเทไปทางด้านซ้าย แสดงว่าภาพนั้นมืดไป ส่วนสามเหลื่ยมสีเหลืองตรงมุมขวาด้านบนที่มีเครื่องหมายอัศเจรีย์อยู่ในสามเหลี่ยมนั้น หมายถึง ระดับการกระจายของสี (colour distribution level) ใน Histogram แบบคร่าวๆ (coarse) ถ้ากดคลิกที่สามเหลี่ยม มันก็จะหายไป แล้วรอสักครู่ราว 1-4 วินาที จะเห็นว่าจำนวน Pixel ในส่วนของข้อมูล Colour statistics ตรงมุมล่างด้านซ้าย จะเปลี่ยนแปลงไป โดยจำนวน Pixel จะเพิ่มขึ้น
– Scope แสดง luminostiy คือ ความสว่างของภาพ ซึ่งในโปรแกรมตัวนี้แสดงเป็นรูปแบบคลื่น (waveform) ซึ่งจากตัวอย่างในภาพด้านบน waveform แตะอยู่ที่ระดับ 30% กว่าๆ แสดงให้เห็นว่าภาพมีความสว่างน้อย ถ้าใครใช้โปรแกรมตัดต่อวีดีโอก็จะคุ้นเคยกับ waveform อยู่ ซึ่ง Scope ของ Affinity Photo สามารถกำหนดให้แสดงในรูปแบบของ Intensity Waveform (ดังภาพด้านบน) RGB Waveform, RGB Parade, Power Spectral Density หรือ Vectorscope แล้วแต่จะเลือก
– Location แสดงสถานที่ถ่ายภาพว่าอยู่ตรงส่วนใดของโลก ถ้ากล้องที่มี GPS ในตัว Location ก็จะแสดงให้เห็นว่าอยู่ตรงส่วนใดในแผนที่ แต่ถ้าไม่มี GPS เราสามารถปักหมุดแสดงเองได้ สำหรับตัวแผนที่นั้น แสดงได้ 3 รูปแบบ คือ Standard, Satellite และ Hybrid
– Metadata ข้อมูลของภาพถ่าย สามารถเลือกให้แสดงข้อมูลในส่วนของ File, Exif, IPTC(Image), IPTC(Contact), Rights, Detail และ Raw data ได้ ซึ่งในส่วนของไฟล์สามารถใส่ข้อมูลเพิ่มเติมลงไปเองได้ รวมทั้ง Keyword และส่วนของ IPTC ก็ใส่ข้อมูลอื่นๆ ได้เช่นกัน
– Focus แสดงระยะโฟกัสของเลนส์ ใช้โหมดโฟกัสแบบใด COC (Circle of Confusion) ที่กี่ มม. และ Hyperfocal Distance ที่กี่เมตร
ส่วนที่ 2 ของ Studio Panels ส่วนนี้ถือว่าเป็นหัวใจของ Develop Persona ซึ่งประกอบไปด้วย Panel ย่อยอีก 5 Panel คือ Basic Lens Details Tones และ Overlays ซึ่ง Panel ย่อยแต่ละตัวจะแสดงในรูปแบบของ slider ให้เราปรับเลื่อนไปมาได้
Basic Panel
 |
Basic Panel |
– Preset หลังจากที่ปรับค่าต่างๆ เสร็จแล้ว เราสามารถ save การตั้งค่าที่เราปรับแต่งมานั้น มาเป็น Preset ของเราได้
– Exposure การชดเชยแสง ใช้เพื่อปรับแสงให้สว่างหรือลดลง และมี slider ปรับ Blackpoint กับ Brightness ได้ด้วย โดย Blackpoint และ Brightness นี้ มีลักษณะเป็น global effect คือ ปรับให้มืดหรือสว่าง มันจะมีผลต่อภาพทั้งภาพ
– Enhance ใช้เพื่อปรับ Contrast, Clarity, Saturation และ Vibrance ของภาพ
– White Balance โดยการปรับอุนหภูมิสี คือ Temperature และ Tint ซึ่งอันนี้ก็เหมือนกับการปรับ White Balance โดยใช้ White Balance Tool ที่ Tool Panel แต่การปรับผ่าน White Balance Panel สามารถทำได้ละเอียดกว่ามาก คือ ปรับอุณหภูมิของสีโดยเลือกอุณหภูมิเคลวิน (K) และปรับ Tint ได้
– Shadows & Highlights ปรับค่า Shadows และค่า Highlights ซึ่งมีลักษณะเป็น local effect คือ มีผลต่อการปรับเฉพาะส่วนของภาพที่เป็นเงามืด หรือ Shadow และส่วนที่สว่างของภาพ หรือ highlight เท่านั้น
– ICC Profiles กำหนดค่า Color Profile บนอุปกรณ์ Output ให้เป็นค่าของ Adobe RGB หรือ sRGB หรือ ProPhoto RGB เป็นต้น
Lens Panel
 |
Lens Panel |
– Lens Corrections ปรับแต่งภาพให้ตรงกับเลนส์ที่ใช้ ปกติถ้ามีเลนส์ Profile อยู่ในโปรแกรมแล้ว ภาพมันก็แสดงออกมาถูกต้องไม่มีผิดเพี้ยน แต่ถ้าไม่มีเลนส์นั้น ก็ต้องปรับแต่งโดยคลิก Lens Corrections แล้วปรับค่า Distortion, Horizontal, Vertical, Rotation และ Scale เอง
– Chromatic Aberration Reduction ตัวลดความคลาดสี วิธีใช้ก็คลิกเลือกในช่อง แล้วรอดูผล ไม่มี slider ที่จะปรับแต่งอะไรเพิ่มเติม วิธีที่จะตรวจเช็คว่าภาพมีปัญหาเรื่อง CA ก็ต้องซูมภาพดูที่ 100% โดยดูเน้นไปที่ส่วนของวัตถุที่ตัดกับท้องฟ้า
– Defringe ตัวลดอาการคลาดสีที่มักมีขอบสีม่วงตรงส่วนที่ปกติตัววัตถุตัดกับส่วนของแสงที่แตกต่างกันมาก ซึ่งเราเรียกว่าอาการขอบม่วง (Purple Fringing) ปกติถ้าเช็คดูหรือแก้ไขเรื่อง CA ก่อน ถ้ายังมีปัญหาจึงค่อยมาดูเรื่องของ Defringe นอกจากนี้ ยังมี slider ย่อยเป็นตัวช่วยให้เราปรับแต่งได้หลากหลาย ไม่ว่า Hue, Radius, Tolerance และ Threshold ซึ่ง Hue ใช้เพื่อเลือกสีที่เกิดการคลาดสี Radius คือรัศมีของสีที่คลาด ส่วนการกำหนดค่าใน Tolerance และ Edge Brightness Threshold นั้น เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับสีอื่นๆ ที่อยู่บริเวณของวัตถุ เช่น แก้ปัญหาขอบม่วงแต่กลับได้ขอบเขียวเข้ามาแทน
– Remove Lens Vignette ลดอาการมุมภาพมืดกว่ากลางภาพที่เรียกกว่า วินเหย็ท ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับลดค่า Intensity เองได้ ทำให้อาการมุมภาพมืดลดลง
– Post Crop Vignette ปรับค่า Vignette ในฃอบเขตที่ทำได้มากกว่าทำใน Remove Lens Vignette เช่น ทำให้กลางภาพมีความสว่างหรือมืดลงกว่ามุมภาพ สามารถขยายหรือลดขนาดของกลางภาพได้ ปรับใช้ Intensity เพื่อเพิ่มหรือลดแสง ใช้ Scale เลือกขนาดส่วนตรงกลางภาพ และใช้ Hardeness ดูขอบความชัดของส่วนตรงกลางภาพ
Details Panel
 |
Details Panel |
– Preset หลังจากที่ปรับค่าต่างๆ เสร็จแล้ว เราสามารถ save การตั้งค่าที่เราปรับแต่งมานั้น เป็น Preset ได้
– Detail Refinement จะว่าไปนี่ก็คือ sharpening นั่นเอง แต่เป็นในส่วนของไฟล์ raw ซึ่งเราสามารถไปปรับ sharpening เพิ่มเติมต่อได้ใน Photo Persona ซึ่งในส่วนนี้ คือ การปรับ contrast ในส่วนของขอบวัตถุ ทำให้เรามองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น และที่ควรทำก็คือ ต้องขยายภาพเป็น 100% ก่อนปรับใช้ฟีเจอร์นี้ ซึ่งมี slider 2 ตัวด้วยกัน คือ Radius และ Amount โดย Radius เป็นรัศมีพื้นที่บริเวณขอบวัตถุ ส่วน Amount คือ กำหนดให้ปริมาณ sharpening นั้น มากน้อยแค่ไหน
– Noise Reduction เมื่อเราถ่ายภาพแล้วใช้ ISO สูงๆ สิ่งที่ตามมาคือ Noise ซึ่งมี 2 ชนิดด้วยกัน คือ Luminance Noise และ Colour Noise ซึ่งการปรับลด Noise แต่ละชนิดใน Affinity Photo นั้น มี slider ย่อยลงไปอีก และก่อนจะใช้ฟีเจอร์นี้ ควรขยายภาพเป็น 100% ก่อน เพราะจะทำให้เห็น Noise ได้ชัดขึ้น
– Noise Addition ผู้ใช้สามารถเพิ่ม Noise ในภาพได้ ซึ่งผู้ใช้ปรับแต่งภาพบางภาพอาจจะเห็นว่าภาพมันน่าจะดูดีขึ้นหากเพิ่ม Noise เข้าไป ดูเป็นศิลปะดี อะไรทำนองนั้น
Tones Panel
 |
Tones Panel |
– Preset เช่นเดียวกันกับกรณี Preset ใน Panel อื่น หลังจากที่ปรับค่าต่างๆ เสร็จแล้ว เราสามารถ save การตั้งค่าที่เราปรับแต่งมานั้น เป็น Preset ได้
– Curves เป็นเครื่องมือปรับแต่งที่มีประสิทธิภาพในการปรับแสงความสว่างความมืดของภาพ และยังแยกปรับตามสี RGB แต่ละสีได้ด้วย อาจจะใช้ยากหน่อย แต่ถ้าเข้าใจหลักและวิธีใช้แล้วจะเป็นประโยชน์มาก ผมคงไม่สามาถอธิบายอะไรไปมากได้เกี่ยวกับ Curves ในการใช้คำพูดภายในไม่กี่บรรทัด เพราะจริงๆ แล้ว ถ้าพูดและอธิบายเรื่องนี้เรื่องเดียว สามารถเขียนเป็นบทความได้เลย ทั้งนี้ทั้งนั้น การใช้ Curve ใน Affinity Photo ควรใช้ประกอบกับ Histogram เพื่อดูกราฟของแสงที่เราปรับแต่งไปด้วยกัน
– Black & White ต้องการปรับแต่งภาพสีให้เป็นขาวดำ ก็เลือก Panel ย่อยตัวนี้ ซึ่งจะมี slider สีให้ปรับแต่งถึง 6 slider ด้วยกัน คือ สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน สี Cyan สี Magenta และสีเหลือง
– Split Toning สามารถใช้ปรับแต่งได้ทั้งภาพขาวดำและภาพสี การปรับแต่งก็เพื่อให้โทนสีในส่วนของ Highlights กับ Shadows โดยเป็นโทนสีเดียวกันหรือคนละสีก็ได้ โดย Tone สีนี้ปรับแต่งในส่วนของ Hue และ Saturation ขณะเดียวกันก็ใช้สไลเดอร์ Balance เพื่อกำหนดความสมดุลของโทนสีระหว่าง Hightlights กับ Shadows ว่าจะให้น้ำหนักกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากน้อยกว่ากัน
Overlay Panel
ใช้ปรับแต่งเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของภาพที่เรียกว่า Localize Adjustment ซึ่งเครื่องมือเกี่ยวกับ Overlay นี้ ผมได้เขียนไว้แล้วในตอนต้นในส่วนของ Tool Panel ซึ่งมีอยู่ 3 ตัว คือ Overlay Paint Tool, Overlay Erase Tool และ Overlay Gradient Tool ซึ่ง 2 ตัว (ยกเว้น Overlay Erase Tool) ถูกนำมาใส่ไว้ใน Overlay Panel ซึ่งมันก็คือเครื่องมือตัวเดียวกัน คือ Overlay Paint Tool = Brush Overlay และ Overlay Gradient Tool = Gradient overlay
 |
Overlay Panel |
ภาพด้านบน มี Master คือ ตัวภาพหลัก ด้านล่างสุดจะมีไอคอนอยู่ 3 ตัว คือ Brush overlay, Gradient overlay และ Trash bin ถ้าเราคลิกที่ไอคอน เช่น Brush overlay ก็จะมีคำว่า Brush overlay ปรากฏขึ้นใต้ Master หากคลิกไอคอน Gradient overlay ก็จะมี Gradient overlay ปรากฏขึ้นเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่ปรากฏขึ้นนั้นเปรียบเสมือนกับ Layer (แม้ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ Layer เพราะเราสร้าง Layer ในไฟล์ raw ไม่ได้) ถ้าเราคลิกที่ Overlay Paint Tool หรือ Overlay Gradient Tool ที่ Tool Panel ก็จะปรากฏสิ่งที่เปรียบเสมือน Layer ใน Overlay Panel นี้เช่นกัน สุดท้าย หลังจากคลิกเลือกเครื่องมือ Overlay ก็นำไปใช้ในภาพ เช่น Brush ก็นำไปวาดในภาพ Gradient ก็นำไปลากในภาพ หลังจากนั้น ก็คลิกที่ Basic Panel เพื่อปรับแต่งต่อไป
ส่วนที่ 3 ของ Studio Panels นี้ ไม่รู้จะให้คำอธิบายว่าอย่างไร เอาเป็นว่ามันเป็นส่วนที่ช่วยแสดงภาพและส่วนของ History ที่เราสามารถย้อนกลับไปยังคำสั่งเดิมในส่วนของการปรับแต่งได้ ซึ่งส่วนนี้ก็ประกอบไปด้วย Panel ย่อยอีก 5 Panel ดังภาพ
– Navigator มี slider เลื่อนไปมาเพื่อซูมเข้าและซูมออก โดยมีกรอบสี่เหลี่ยมแสดงใน Navigator panel และผลของการซูมจะไปปรากฏบนภาพใหญ่ของโปรแกรม และสามารถคลิกค้างไว้ที่กรอบสี่เหลี่ยมเพื่อแพนดูภาพใหญ่ได้
– History แสดงประวัติของการปรับแต่งภาพ ทุกขั้นตอนที่เราปรับแต่งจะถูกบันทึกไว้ใน History Panel และสามารถคลิกเลือกขั้นตอนใดก็ได้เพื่อเริ่มขั้นตอนใหม่จากขั้นตอนที่คลิกนั้น โดยขั้นตอนเก่าสุดเริ่มจากแถวบน ยังมีสไลเดอร์ Position เลื่อนเพื่อดูขั้นตอนที่ได้ทำมาด้วย
– Snapshots คล้ายคลึงกับการทำงานของ History Panel โดยโปรแกรมจะเก็บเฉพาะขั้นตอนที่เราต้องการเก็บไว้เท่านั้น ซึ่งอาจกลับไปใช้ได้สะดวกกว่า History เพราะสามารถคลิกเข้าไปยังขั้นตอนที่ต้องการได้ทันทีเลยไม่ต้องไล่หาแบบใน History ที่เก็บงานไว้ทุกขั้นตอน สำหรับวิธีใช้งาน เมื่อทำถึงขั้นตอนที่ต้องการเก็บไว้ ก็กดไอคอน Snapshot ซึ่งใน Panel นี้ มีไอคอนอยู่ 2 ตัว คือ Snapshot และ Trash bin สำหรับใช้ลบ Snapshot ที่ไม่ต้องการ
– Info แสดงข้อมูลของภาพ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ที่สามารถเลือกให้แสดงได้ คือ ข้อมูลค่าสี หรือระดับค่าหมึก เช่น RGB, CYMK, HSL, LAB และGreyscale เป็นต้น ข้อมูลตำแหน่งในแนวตั้งแนวนอนของภาพ ความสูง ความกว้าง ระยะและมุมของภาพ รวมตลอดถึง ICC profile และ Memory วิธีการโดยลาก cursor ชี้ไปยังจุดใดในภาพ ข้อมูลก็จะปรากฏขึ้น หรืออีกวิธีโดยการล็อคเป้า คือ คลิกเลือกไอคอนเครื่องหมายเป้า (อยู่ใต้เครื่องหมาย cursor) ค้างไว้ แล้วลากไปยังส่วนใดส่วนหนึ่งของภาพที่เป็นเป้าหมาย
– 32-bit Preview สำหรับพรีวิวภาพระบบสี 32 บิท โดยปรับค่า Exposure และ Gamma โดบใช้ประโยชน์ในการดูภาพที่มีการปรับค่านี้ ซึ่งไม่มีผลกระทบกับการปรับโทนภาพจริง ใน Panel นี้ยังมีรายละเอียดตัวเลือกปลีกย่อยอีก เช่น Enable EDR (Extended Dynamic Range) สำหรับภาพ HDR Show EDR Clipping/Clip to maximum และในส่วนของ Display Transform มีตัวเลือกระหว่าง ICC Display Transform, Unmanaged และ OCIO Display Transform
จากภาพด้านบน ถ้าสังเกตจะเห็นปุ่มที่ด้านบนขวาสุดของ Navigator, History และ Info Panel นั้น มี preferences เพิ่มเติมให้เลือกได้ด้วย
Studio Panels ทั้งหมดนี้สามารถย้ายสลับไปมาได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะ Floating คือ ไปวางไว้ส่วนใดส่วนหนึ่งของจอภาพได้ หรือจะเอาส่วนที่ 3 มารวมกันไว้กับส่วนที่ 2 ให้เป็นส่วนเดียวกันก็ได้ หรือย้ายบางส่วนจากบนลงล่างหรือล่างขึ้นบนก็ได้ แต่หากเมื่อใดต้องการกลับไปสู่ค่า default ก็ให้คลิกเลือกที่เมนู View/Studio/Reset Studio ซึ่งที่ผมเรียงลำดับแยกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ตามที่อธิบายมานั้น เป็นการจัดวางตามค่า default ของโปรแกรม
เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับโปรแกรม ผมว่าควร browse ดู Menu Bar ก็ดีนะครับ ยิ่งใน Develop Persona นี้ ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนเท่ากับ Menu Bar ใน Photo Persona ก็ไม่น่าจะเสียเวลาเท่าไหร่ เช่น ภาพด้านล่าง 2 ภาพนี้ โดยภาพแรก เป็น Preferences ซึ่งมาจากการคลิกเปิดเมนู Affinity หรือ Shortcut Cmd+, (ซึ่งในเวอร์ชั่น Windows คลิกเปิดในเมนู Edit/Preferences หรือ Ctrl+,) โดยเราสามารถตั้งค่าโปรแกรมในส่วนต่างๆ คือ ด้าน General, Colour, Performance, User Interface, Tools, Keyboard Shortcuts, Photoshop Plugins และ Miscellaneous ส่วนภาพหลังแสดงรายละเอียดใน View Menu
 |
Preferences |
 |
View Menu |
ถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว หลังจากปรับแต่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คลิกเลือก Develop (ในวงกลมสีแดงตามภาพด้านล่าง) หลังจากนั้น ภาพนั้นก็จะถูกนำเข้าสู่ Photo Persona เพื่อปรับแต่งเพิ่มเติมต่อไป
อนึ่ง เมื่อภาพอยู่ใน Photo Persona แล้ว เราสามารถคลิกที่ Develop Persona เพื่อนำภาพเข้ามาปรับใน Develop Persona อีกครั้งก็ทำได้ แต่พึงเข้าใจว่า ภาพนั้นเมื่อนำเข้ามาใน Develop Persona อีกครั้ง มันไม่ใช่ไฟล์ Raw อีกต่อไปแล้ว ถึงเราจะยังไม่ได้ปรับแต่งอะไรแม้แต่อย่างเดียวใน Photo Persona ก็ตาม แต่เมื่อกลับเข้ามายัง Develop Pesona อีกครั้ง ข้อมูลการปรับแต่งทุกอย่าง slider การปรับแต่งทุกอย่างจะถูก reset เป็นค่า 0 หรือ 0% หมด ค่า K ใน White Balance ก็จะไม่ปรากฏ แต่จะเป็น 0% แทน รวมทั้งข้อมูลเดิมใน History ก็ไม่มี ทั้งนี้ เพราะไฟล์ของเรานั้นผ่านขั้นตอนของการถูก develop มาแล้ว ไฟล์ถูกเก็บอยู่ในรูปแบบ afphoto format ไปแล้ว แม้ว่าเราจะไม่จะยังไม่ได้ save/save as ให้เป็นฟอร์แมต afphoto ก็ตามที ส่วนไฟล์ Raw เดิมของเราไม่ถูกกระทบหรือมีการเปลี่ยนแปลงอะไรแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเลือก save/save as หรือ cancel ในขั้นตอนของ Photo Persona มาก็ตาม หากเราเลือกเปิดไฟล์ raw ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง โปรแกรมก็จะเปิดไฟล์ raw ดั้งเดิมที่ไม่มีการปรับแต่ง ไฟล์ไม่ได้รับการ modify อะไรเลย การปรับแต่งแบบที่ไม่มีผลกระทบกับไฟล์เดิมนี้ถึงได้เรียกว่า Non-destructive editing