ผมมีกล้องโอลิมปัส PEN F ซึ่งเป็นกล้องที่ไม่มี Grip ปกติเวลาใช้เลนส์ตัวเล็กๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ใช้งานได้สบาย ที่วางนิ้วโป้งหลังกล้องมันก็ช่วยทำให้การจับกล้องกระชับขึ้น อย่างไรก็ดี ถ้ามันมี Grip ด้วย ก็จะยิ่งทำให้การใช้งานกับเลนส์ที่มีขนาดใหญ่ทำได้สะดวกขึ้น
ถ้าจะรวบรวมประโยชน์ของ Grip กล้อง ก็น่าจะจำแนกเป็นข้อย่อยๆ ได้ ดังนี้
– ทำให้การจับถือกล้องเข้ามือมาก ลดความเมื่อยล้าเมื่อถือกล้องนานๆ
– ลดอาการมือสั่นยามใช้กับเลนส์ที่น้ำหนักมาก
– ทำให้การควบคุมกล้องด้วยมือข้างเดียวสะดวกขึ้น
– เพิ่มความทนทานและป้องกันกล้องจากแรงกระแทกต่างๆ เพราะมี Plate ยึดใต้กล้อง
– Grip บางรุ่นยังสามารถรองรับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ได้ เช่น มีจุดเชื่อมต่อให้
– หากเป็น Battery Grip ก็จะช่วยให้การถ่ายภาพแนวตั้งสะดวกขึ้น และมีแบตเพิ่มขึ้น
เมื่อพูดถึง Battery Grip ก็เป็น Grip ประเภทหนึ่ง รวมทั้ง L-Bracket หรือ L-Plate ด้วยเช่นกัน แต่ที่เน้นในบทความนี้ ก็เป็น Grip แบบที่ใช้ติดกับด้านขวาของกล้องเพื่อใช้ประโยชน์จากการจับถือกล้อง
ผมนิยมใช้ Wrist strap คือสายคล้องข้อมือ ไม่ได้ใช้สายคล้องกล้องแบบคล้องคอ ผมใช้กล้อง OM System OM-1 ii กับ Wrist strap ได้ไม่มีปัญหา เพราะมันเป็นกล้องที่มี Grip อย่างกล้องที่ไม่มี Grip เช่น OM System OM-3 ที่เพิ่งออกมาใหม่ ถ้าใช้ Wrist strap จึงไม่ค่อยสะดวกมากนัก ผมไม่ได้มีความสนใจจะซื้อกล้อง OM-3 ด้วยเหตุผลหลายประการ เหตุผลเล็กๆ ประการหนึ่ง คือ มันไม่มี Grip แต่ไม่ใช่เหตุผลหลักนะครับ ถ้าจะเอาจริงๆ เพราะผมมั่นใจว่าจะต้องมีคนทำ Grip มาขายแน่นอนอยู่แล้ว ซึ่งอย่างน้อยตอนนี้ก็มีการวางขายบนเว็บ aliexpress กันแล้ว ดังภาพด้านล่าง ซึ่งขายกันอยู่ในราคา 2,000 บาทต้นๆ

.
ผมใช้กล้อง PEN F ก็ได้ซื้อ L-Bracket แบบที่มี Grip อยู่ในตัวมาด้วย ก็สั่งจาก aliexpress ในราคาไม่กี่ร้อยบาท เอาใส่กับ PEN F ก็ทำให้จับถือสะดวก มี Plate แบบ Arca-Swiss ติดใต้ฐานกล้อง ทำให้เวลาใช้กับ Tripod หรือ Monopod ที่ใส่หัวบอลหรือหัวน้ำมันไว้ ทำให้สะดวกมาก และ Plate ตรงด้านข้างของกล้อง ซึ่งก็เป็น Arca-Swiss เช่นกัน ทำให้ถ่ายแนวตั้งได้สะดวกอีกเหมือนกัน และอย่างที่เขียนไว้ตอนต้นว่า การมี Plate ยึดใต้ฐานกล้อง สามารถป้องกันกล้องจากแรงกระแทกต่างๆ แต่เคยมีผู้หวังดีแนะนำผมว่า ให้ระวังสักนิดเพราะตัว L-Plate รุ่นนี้ มันจะขูดสีใต้กล้อง ผมดูดีๆ ก็เป็นไปได้ครับ เพราะมันเป็นเหล็กล้วนๆ ไม่มีแผ่นยางอะไรมาแปะไว้ระหว่าง Plate กับฐานกล้อง ทำให้ฐานกล้องของเราสัมผัสหรือเสียดสีตรงๆ กับตัว Plate ผมเลยตัดกระดาษแปะไว้บนตัว Plate แล้วใช้สก็อตเทปปิดทับไว้อีกชั้น ใช้มาหลายเดือนครับ ไม่มีอะไรเสียหาย สีไม่ถลอก ภาพด้านล่างนี้ครับ คือ L-Plate ตัวนี้ (ซึ่งสามารถถอดแยกส่วนออกได้เป็น 3 ชิ้น)

แม้ Olympus มี Grip ของกล้อง PEN F เองก็ตาม คือ รุ่น ECG-4 แต่ราคาไม่ค่อยเป็นมิตรเลย นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมใช้ L-Plate รุ่นที่มี Grip ที่กล่าวมานั้น แต่อย่างไรก็ดี ในที่สุด ผมก็ได้ซื้อ Grip ECG-4 มาใช้อยู่ดี ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อมาตั้งแต่แรก เรื่องของเรื่องก็เกี่ยวกับ OM-3 นี่แหละครับ ตอนที่ OM-3 ยังไม่ได้ออกวางจำหน่าย แต่มีตัวกล้องให้ทดลองดูได้ที่ร้านของ Big Camera ที่ Central World ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไปทดลองเล่น ทดลองถ่ายภาพ โดยผมนำ SD Card ไปด้วย ผมเล่นอยู่นาน ชอบที่กล้องสวยงามจริง แต่ดูๆ ไปหลายๆ อย่าง ก็เห็นว่ามันไม่น่าจะเหมาะกับผมมากนัก พนักงานก็คุยกับผมว่า กล้องรุ่นนี้มันมี Creative Dial ด้วยนะครับ ผมก็บอกไปว่า ผมก็ชอบ Creative Dial เพราะผมใช้กล้อง PEN F พนักงานเขาก็บอกผมว่า พอดีทางร้านเหลือ Grip ECG-4 อยู่ 1 ตัว เป็นตัวสุดท้าย อยู่ในกล่องที่เปิดแล้ว ไม่ได้ seal ไว้ แต่เป็นของใหม่ จะลดราคาให้ 50% พร้อมกับเอาของให้ผมดู ผมดูแล้วก็เห็นว่าเป็นของใหม่จริง และบอกว่าผมยังไม่คิดจะซื้อ เพราะมี Grip จากจีนใช้อยู่แล้ว แต่ก็คิดในใจว่า ลดราคาไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ยังสูงอยู่ดี
หลังจากนั้น ผมใช้เวลา 2-3 วัน พิจารณาอ่านเว็บ อ่าน Facebook ดูใน Youtube เกี่ยวกับ ECG-4 ว่ามันจะดีกว่า Grip ที่ผมมีอยู่อย่างไร ดูไปดูมาก็เห็นว่า ข้อดีชอง ECG-4 คือ มันเป็นผลิตภัณฑ์ของ Olympus ตรงตัว Grip มันมี Skin ที่มี Texture แบบเดียวกับตัวกล้อง ในขณะที่ Grip ยี่ห้อจีนมันเป็นเหล็ก มันจับแล้วลื่นๆ กว่าแน่ ตัว Plate ของ ECG-4 มันก็เป็นแบบ Arca-Swiss เหมือนกับ Grip ยี่ห้อจีน เพียงแต่ ECG-4 มันไม่ใช่ L-Plate ใช้ถ่ายภาพแนวตั้งไม่ได้เมื่อใช้กับ Tripod แม้ ECG-4 ไม่ใช่ L-Plate แต่ถ้าหากจะใช้ถ่ายภาพแนวตั้ง เราก็สามารถหมุนหัวบอลบน Tripod ให้กล้องถ่ายแนวตั้งได้อยู่ดี ผมรู้สึกว่า ECG-4 กลับดูเรียบง่าย ในขณะที่ L-Plate ตัวเก่า มันจะดูถึกกว่า แต่มันก็ปิดบังความงามความหล่อของกล้องไปเสีย เมื่อตัดสินใจได้ก็โทรศัพท์ไปแจ้งว่าผมจะซื้อ และยังดีครับ ที่ของยังอยู่ยังไม่ได้ขายไป

ในวันที่ผมไปรับของนั้น ผมก็ถือโอกาสทดลองเล่น OM-3 อีกครั้ง เล่นอยู่นานพอสมควรจนมั่นใจได้ว่า มันไม่ใช่กล้องสำหรับผมแน่นอน ไม่ได้หมายความว่ากล้องไม่ดีนะครับ กล้องดีมาก เพียงแต่มันไม่เหมาะกับผมเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นเรื่องความชอบความถนัดและรสนิยมส่วนตัวล้วนๆ